เรารู้จักพระเยซูเจ้าจริงๆหรือยัง?
หลายคนคงจะตอบคำถามข้างบนเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้จักแล้ว รู้จักดีเสียด้วย เพราะฉันเรียนคำสอนตั้งแต่เด็ก โตขึ้นยังสมัครเรียนคำสอนเพิ่มเติม แม้ตัวจะไปทำงานแล้วยังอุตส่าห์สมัครมาเรียนคำสอนวันอาทิตย์ที่ทางวัดเปิดสอน นอกนั้นฉันก็ไม่พลาดที่จะสมัครเข้ารับการอบรมต่างๆ ในวันเสาร์ อาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านพระคัมภีร์ ด้านพิธีกรรม วิถีชุมชนวัด ฯลฯ เรื่องราวต่างๆทุกอย่างเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าอัดแน่นอยู่ในหัวของฉัน จนฉันสามารถแบ่งปันความรู้ให้แก่คนอื่นได้ ขนาดที่ไม่ต้องเปิดหนังสือเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างอยู่ในหัว นอกนั้นผู้ใหญ่เมื่อเห็นความสามารถเหล่านี้ของฉัน ท่านจึงเอ็นดูส่งฉันไปเรียนต่อด้านคำสอนที่เมืองนอกจนกลับมาได้รับปริญญา และเกียรติบัตรต่างๆมากมาย สรุปแล้ว ฉันรู้จักพระเยซูเจ้าจริงๆ และยังสามารถทำงานให้กับพระองค์ได้ ด้านการเผยแผ่พระวาจา และชีวิตของพระองค์
ถ้าพระเยซูเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ยืนฟังเราพูดคำอวดอ้างต่างๆข้างบน พระองค์คงจะพูดใส่หน้าเราด้วยคำเพียงคำเดียว คือ คำว่า เชอะ เพราะสิ่งที่ คุยโว มาทั้งหมดข้างบนไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ต้องการ
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงให้เงื่อนไขของการรู้จักองค์พระเจ้าหรือพระเยซูเจ้า ด้วยประโยคสำคัญประโยคนี้
“แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่กับท่าน และอยู่ในท่าน”
ตัวบ่งชี้ของการรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระเยซูเจ้า มีเพียงตัวบ่งชี้เดียวเท่านั้นคือ พระเจ้าอยู่กับเราและอยู่ในเรา
และสิ่งที่จะปรากฏให้เห็นเป็นตัวบ่งชี้ภายนอกว่า พระเจ้าอยู่กับเราและอยู่ในเรา ก็คือ สิ่งที่พระเยซูเจ้าได้พูดไว้ในพระวรสารของวันอาทิตย์ที่แล้ว ถ้าเรายังจำได้ พระองค์ตรัสไว้ว่า
“ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่”
คนที่มีพระเจ้าหรือองค์พระเยซูเจ้าอยู่ในตัวก็จะทำทุกอย่างเหมือนกับพระเยซูเจ้า
เห็นจะต้องมานั่งถามตัวเองในวันนี้เสียแล้วว่า ตัวฉันรู้จักพระเยซูเจ้าจริงๆ อย่างที่พระองค์ต้องการแล้วหรือยัง?
การรู้จักพระเยซูเจ้าแต่เพียงในสมองคือการรู้จักพระเยซูเจ้าแต่เปลือกนอก
การรู้จักพระเยซูเจ้าที่เป็นแก่นสาระอยู่ในประโยคสุดท้ายๆ ที่พระเยซูเจ้าพูดไว้ในพระวรสารวันนี้เช่นเดียวกัน
“……ท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน ผู้ที่มีบทบัญญัติของเรา และปฏิบัติตาม ผู้นั้นรักเรา และ ผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา”
อีกประโยคหนึ่งที่สำคัญและจะต้องนำมาอ้างอิงไว้ในที่นี้ก็คือ ยอห์น บทที่ 14 ข้อ 23 “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำนักอยู่กับเขา”
คำว่า แสดงตนแก่เขา ไม่ได้แปลว่า พระเยซูเจ้าจะประจักษ์มาให้เราเห็น แต่คำว่า แสดงตนแก่เขาถูกทำให้กระจ่างจากยอห์น บทที่ 14 ข้อ 23 ซึ่งการแสดงตน แปลว่า การเสด็จมาสถิตประทับในชีวิตของเราขององค์พระเจ้า
การรู้จักพระวาจาและคำสอนของพระเยซูเจ้าและพยายามทำตามคำสอนนั้น หรือ พยายามนำเอาคำสอนเหล่านั้นไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวัน จะนำเอาชีวิตขององค์พระเจ้าเข้ามาสถิตประทับในตัวเราทีละเล็กทีละน้อย และเมื่อเรามีองค์พระเจ้าสถิตประทับในตัวเราจริงๆ ของเน้นคำว่า จริงๆ เวลานั้นเราจะเริ่มต้นปฏิบัติดำเนินชีวิต หรือ ทำทุกอย่างให้เหมือนกับพระเยซูเจ้า ให้เหมือนกับในสมัยที่พระองค์ยังคงมีชีวิตเมื่อ 2000 ปีก่อน
ดังนั้นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีความรู้คำสอนมากมายอย่างลึกซึ้ง แต่รู้คำสอนเพียงนิดๆหน่อยๆแบบชาวบ้านๆ แต่ได้พยายามเอาสิ่งที่รู้เล็กๆน้อยๆนั้น ไปปฏิบัติตาม เขาเหล่านั้นรู้จักพระเยซูเจ้าแล้ว และเป็นความรู้จักแบบที่พระเยซูเจ้าต้องการ เพราะเป็นความรู้จักที่เปลี่ยนชีวิต ทำให้คนธรรมดาๆคนหนึ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนไป คือ เหมือนหรือคล้ายกับพระเยซูเจ้า