ข้อคิดอาทิตย์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี A มธ 25: 14-30…ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี A มธ 25: 14-30…ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลธรรมดาปี A ยน1: 29-34…นี่คือลูกแกะของพระเจ้าผู้ทรงลบล้างบาปของโลก… พระเยซูเจ้าทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้าพระผู้ทรงลบล้างบาปของโลก…ให้เราเริ่มทำการเฉลิมฉลองพิธีบูชาขอบพระคุณนี้ด้วยการนำเอาบาปต่างๆของเรามาวางไว้เฉพาะพระพ้กตร์ของพระองค์พลางทูลขออภัยและการรักษาให้หายจากพระองค์ ข้อคิด…พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ลูกแกะปัสกา” เพราะโดยอาศัยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงช่วยโลกให้พ้นจากบาป เหมือนกับการเฉลิมฉลองปัสกาแต่กาลก่อนของประชากรผู้เลือกสรรที่เลือดของลูกแกะปัสกา […]
ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 3เทศกาลธรรมดาปีA มธ4: 12-23…พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม…เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริง… “ประชาชนที่จมอยู่ในความมืดได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่งความตายแสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว” “ประชาชนที่จมอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่”…นี่เป็นคำยืนยันของนักบุญมัทธิวที่บ่งบอกถึงผลกระทบจากพันธกิจขององค์พระเยซูเจ้าที่มีต่อประชากรทั้งหลาย…และแสงสว่างนั้นกำลังฉายแสงมายังพวกเราในขณะนี้ขณะที่เรากำลังชุมนุมกันอยู่ณรอบพระแท่นบูชาในพระนามของพระองค์ ข้อคิด…นักบุญมัทธิวได้เปรียบเทียบการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าว่าเป็นเหมือนกับแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ที่ส่องสว่างประชาชนซึ่งเจริญชีวิตอยู่ในความมืดแห่งชีวิตท่านนักบุญมองเห็นว่าพระเยซูเจ้าเป็นผู้ที่บันดาลให้คำพยากรณ์ของท่านประกาศกอิสยาห์ได้สำเร็จเป็นไป “ประชาชนที่จมอยู่ในความมืดได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่งความตายแสงสว่างได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว” […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่ 4เทศกาลธรรมดาปี A มธ5: 1-12…ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุขเมื่อถูกดูหมิ่นข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเราจงชื่นชมยินดีเถิดเพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก… ในเรื่องของมหาบุญลาภเราได้แลเห็นค่านิยมที่คริสตชนควรจะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน…ขณะที่มหาบุญลาภเหล่านี้เป็นการท้าทายเราอย่างมากแต่ว่าในขณะเดียวกันก็เสนอรางวัลที่ยิ่งใหญ่ให้กับเราตั้งแต่อยู่ในโลกนี้และโดยเฉพาะอย่างสำหรับโลกหน้า ข้อคิด…จากบทอ่านทั้งสามบทที่เราเพิ่งได้ยินจบลงไปแล้วนั้นมิใช่ความอดอยากและภัยพิบัติต่างๆเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้นกับมนุษยชาติและไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเรามนุษย์เป็นสุขและสิ่งต่างๆเหล่านี้มิใช่ว่าเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับเรามนุษยอีกด้วย…สิ่งที่ได้รับพระพรจากพระเจ้าก็คือความไว้วางใจในพระองค์และคนที่รู้ว่าตัวเองต้องการพระเจ้าและเจริญชีวิตตามน้ำพระทัยพระองค์คนนั้นแหละที่เป็นสุขและเป็นคนที่โชคดี…พระเจ้าจะประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขาตามที่เขาต้องการเพราะพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเติมเต็มช่องว่างต่างๆในตัวเรามนุษย์และสามารถดับความกระหายแห่งหัวใจของเรา…คนที่วางใจในมนุษย์ด้วยกันในที่สุดก็จะผิดหวังส่วนคนที่วางใจในพระเจ้าก็จะไม่ผิดหวังเพราะพระเจ้าจะกลายเป็นพระผู้อุปถัมภ์ของผู้ยากไร้ผู้อ่อนแอผู้ด้อยโอกาสและผู้ต่ำต้อยเพียงแต่ขอให้เขาประพฤติความชอบธรรมและมีความสุภาพถ่อมตน มหาบุญลาภที่พระเยซูเจ้าเทศน์สอนให้กับพวกเราทุกๆคนนั้นเป็นหัวใจของพระวรสารเลยทีเดียวแต่ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นว่ามหาบุญลาภเหล่านั้นเป็นอะไรที่จะนำไปปฏิบัติไม่ได้หรือจะปฏิบัติได้ก็ยากมากๆทั้งเป็นการเรียกร้องมากเกินไปสำหรับคนโดยทั่วๆไป แต่ให้เราใช้เวลาสักเล็กน้อยไตร่ตรองดูว่ามหาบุญลาภที่พระเยซูเจ้าเทศน์สอนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หรือไม่และดีมากน้อยแค่ไหนถ้าหากว่าเราสามารถนำมาปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน “ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุขเพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา”แต่เราคงอยากจะบอกว่าคนที่ร่ำรวยก็เป็นสุขเพราะเขาสามารถมีทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาต้องการ แต่ว่าจริงๆแล้วคนที่ร่ำรวยก็ไม่เคยรู้สึกว่าพอดังนั้นเขาจะเป็นสุขได้อย่างไรกัน? […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่ 5เทศกาลธรรมดาปี A มธ5: 13-16…ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดินและเป็นแสงสว่างส่องโลก…เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ เนื่องจากว่าเราเป็นศิษย์ของพระคริสต์เราจึงได้รับการเชื้อเชิญให้เป็น“เกลือดองแผ่นดิน” และเป็น“แสงสว่างส่องโลก”…นี่เป็นงานมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงมอบให้กับศิษย์ของพระองค์แต่ก็เป็นงานที่ยากมากๆและเพื่อที่จะทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จเราต้องการพละกำลังจากพระองค์ดังนั้นทุกๆวันให้เราได้ทูลขอจากพระองค์ซึ่งพละกำลังและความช่วยเหลือต่างๆที่เราต้องการเพื่อจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายอย่างที่พระองค์ได้ทรงหวังจากศิษย์ของพระองค์ ข้อคิด…นักบุญมัทธิวได้นำเสนอว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างที่ส่องลงมายังโลกที่มืดมนในพระวรสารของวันอาทิตย์ที่สามเทศกาลธรรมดา…มาในวันอาทิตย์นี้พระภารกิจในการส่องสว่างและในการนำมนุษยชาติที่กำลังสับสนวุ่นวายในด้านศีลธรรมก็ได้รับการแบ่งปันให้กับบรรดาศิษย์ของพระองค์ ในโลกสมัยโบราณเกลือเป็นสิ่งจำเป็นที่มีความสำคัญมากที่สุดสิ่งหนึ่งสำหรับชีวิตของเรามนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเก็บรักษาและทำให้อาหารมีรสชาติเช่นเดียวกันสำหรับความจำเป็นและความสำคัญในชีวิตประจำวันในเรื่องของแสงสว่างก็เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งสำหรับพวกเราทุกๆคนดังนั้นภาพของเกลือและแสงสว่างที่พระเยซูเจ้าได้ทรงยกตัวอย่างก็ถูกนำเอาไปเปรียบเทียบกับการทำดีที่ศิษย์ของพระองค์ควรจะต้องมีบทบาทอย่างสำคัญต่อโลกในชีวิตประจำวันของพวกเขาดังนั้นเมื่อบรรดาศิษย์ของพระองค์จะไม่ยอมเป็นประจักษ์พยานให้กับพระองค์พวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไร้คุณค่าเหมือนกับเกลือที่สูญเสียความความเค็มของมันหรือเหมือนกับตะเกียงที่ไม่ยอมส่องสว่าง คนที่ได้รับการประกาศว่าเป็นผู้มีบุญหรือเป็นผู้มีความสุขนั้นมิใช่มีบุญหรือมีความสุขเฉพาะสำหรับตัวเองแต่ว่าความมีบุญและความสุขนี้เขาจะต้องแบ่งปันใหักับคนอื่นๆด้วยเพราะการที่พระเยซูเจ้าบอกให้เราเป็นเกลือดองแผ่นดินและเป็นแสงสว่างส่องโลกนั้นก่อนอื่นหมดพระองค์ต้องการจะบอกกับผู้ที่เชื่อในพระองค์และกับบรรดาศิษย์ของพระองค์เป็นอันดับแรกโดยให้พวกเขาเป็นผู้ยากจนผู้อ่อนโยนผู้ที่หิวกระหายความยุติธรรมผู้มีใจบริสุทธิ์ฯลฯซึ่งโดยอาศัยมหาบุญลาภที่พระองค์เทศน์สอนและบอกให้พวกเขาปฏิบัตินั้นพวกเขาก็จะสามารถเป็นเกลือดองความดีให้กับคนอื่นและสามารถเป็นแสงสว่างคอยส่องหนทางเดินแห่งชีวิตให้กับเพื่อนพี่น้องซึ่งกำลังเดินหน้ามุ่งไปสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่ 6 เทศกาลธรรมดาปีA มธ5: 17-37…เรามิได้มาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติแต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์…ผู้ที่ปฏิบัติธรรมบัญญัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์… พระเยซูเจ้ายังได้ทรงตรัสเพิ่มเติมอีกว่า“ขณะที่ท่านกำลังนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่นบูชาถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้วจงวางเครื่องบูชานั้นไว้หน้าพระแท่นกลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น” ข้อคิด…การกระทำที่ไม่ดีไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนและการทำผิดประเวณีย่อมเกิดขึ้นในความคิดและในหัวใจของมนุษย์ก่อนที่จะลงมือกระทำการและเป็นการผิดพระบัญญัติประการที่ห้าและที่หก…พระเยซูเจ้าได้ทรงให้ความหมายใหม่แก่พระบัญญัติประการที่ห้าใหม่ว่าจะต้องรวมไปถึงความรู้สึกโกรธและอารมณ์ที่ฉุนเฉียวด้วยเพราะอาจจะนำไปสู่การปลิดชีวิตของผู้อื่นได้…และพระองค์ยังได้ทรงให้ความหมายใหม่แก่พระบัญญัติประการที่หกอีกด้วยซึ่งจะต้องผนวกเอาความคิดอ่านและความปรารถนาที่ผิดศีลธรรมอันดีงามเข้าไปด้วยเพราะจะสามารถนำไปสู่บาปอุลามกและความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิตของตนได้ มีนักบุญหลายๆองค์ที่ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องของความโกรธและอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับการควบคุมพฤติกรรมของเราดังนั้นจึงขอสรุปคำสอนของท่านเหล่านั้นในบางประเด็น – เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่จะไม่ยอมให้ความโกรธที่เป็นบาปเข้ามาสิงอยู่ในจิตใจของเราเพราะเมื่อเราปล่อยให้มันเข้ามาแล้วก็อยากที่จะผลักดันมันออกไป […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่ 7 เทศกาลธรรมดาปี A มธ5: 38-48…จงรักศัตรู(และ) จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน…ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด… พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าพระเจ้าทรงรักบรรดาลูกๆของพระองค์ทุกๆคนลูกๆจะดีหรือเลวก็ไม่สำคัญ…และพระองค์ได้ทรงเร่งรัดให้ลูกๆของพระองค์ได้เลียนแบบความรักที่ไม่เลือกปฏิบัติของพระบิดาเจ้า…เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าความรักแบบที่ว่านั้นใช่ว่าจะสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เราไม่ชอบ…ให้เราวอนขอพระพรและพละกำลังจากพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้จะสามารถปฏิบัติความรักแบบที่ว่านี้ได้ ข้อคิด…เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นเราจึงต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยและเราจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อเราจะเลียนแบบความใจกว้างของพระเจ้าโดยไม่คิดจะเลือกปฏิบัติและไม่คิดที่จะแก้แค้นแก้เผ็ดคนอื่นรวมทั้งจะไม่มีใจอิจฉาริษยาผู้อื่นฯลฯ ในหนังสือเลวีนิติ(ลนต19: 1-2, 17-18)…พระบัญญัติที่ว่า“เจ้าต้องรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนกับที่เจ้ารักตัวเจ้าเอง”ก็จะจำกัดอยู่เฉพาะเพื่อนพี่น้องชาวอิสราแอลเท่านั้น…แต่พระเยซูเจ้าได้ทรงขยายขอบเขตของพระบัญญัตินี้ไปยังทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือคนต่างศาสนาก็ตามและไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือเพื่อนฝูงก็ตามที…ทำไม?…ก็เพราะว่านี่แหละที่เป็นวิธีการที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆคนพระองค์ทรงแสดงความรักที่เท่าเทียมกันไม่ว่าต่อคนดีหรือคนไม่ดีคนชอบธรรมหรือคนอธรรม และการที่พระองค์ปฏิบัติเช่นนี้เหมือนๆกันสำหรับทุกๆคนมิใช่เป็นเพราะว่าพระองค์ไม่ใยดีต่อเรื่องของศีลธรรมแต่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรักทุกๆคนอย่างไม่มีขอบเขตนั่นเอง ส่วนนักบุญเปาโล(1 […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่แปดเทศกาลธรรมดาปีA มธ6: 24-34…ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้…และท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้…แต่จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนแล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้… เรากำลังมาชุมนุมกันในบ้านของพระเจ้าให้เราเข้ามาหาพระองค์ด้วยจิตตารมณ์แห่งความเชื่อมั่นในพระองค์…โดยให้เราสลัดความห่วงกังวลออกไปเสียแต่ให้วางใจในความรักและความใส่ใจของพระเจ้าที่มีต่อเราแต่ละคน ข้อคิด…คำสอนของพระวรสารในวันนี้ที่สำคัญมี2 ประการด้วยกันคือ..ประการแรกคือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรับใช้เจ้านายสองคนพร้อมๆกันในเวลาเดียวกันและประการที่สองคือให้เราได้รู้จักสลัดทิ้งซึ่งท่าทีและความห่วงกังวลที่มีต่อวันพรุ่งนี้หรืออนาคต… ภาพลักษณ์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์คือภาพลักษณ์ของพระผู้เป็นบิดาที่คอยเอาใจใส่ดูแลบรรดาสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์และคอยสอดส่องดูความต้องการของบรรดาลูกๆของพระองค์…“และพระเจ้าประทานอาหารให้กับทุกคนตามเวลา”(สดด145: 15)…และให้กับสัตว์ทั้งหลายด้วยเช่นเดียวกับที่ให้กับเรามนุษย์แต่ว่าพระญาณสอดส่องของพระเจ้าเราสามารถเห็นได้อย่างชัดแจ้งก็ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นซึ่งเปรียบเสมือนเป็นแผนการแห่งการช่วยให้รอดพ้นอันเป็นการร่วมมือกันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ให้กับประชากรของพระองค์ มีคนบางคนที่หวังจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธรรมชาติเช่นลมฟ้าอากาศหรือเรื่องส่วนตัวเช่นความเป็นอยู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานการศึกษาเล่าเรียนฯลฯด้วยการอธิษฐานภาวนาพลางตั้งหน้าตั้งตาคอยเวลาที่จะได้รับสิ่งที่วิงวอนขอ แต่ก็ยังมีอีกบางคนที่ไม่หวังพึ่งอะไรทั้งสิ้นจากพระเจ้าเพราะกลับคิดว่าเป็นพระเจ้านั่นแหละที่เป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความสำเร็จของตน […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่ 1เทศกาลมหาพรตปีA มธ4: 1-11…พระเยซูเจ้าทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนในถิ่นทุรกันดารและมารปีศาจมาทดลองพระองค์… เทศกาลมหาพรตเชิญชวนเราให้รำลึกถึงสี่สิบวันสี่สิบคืนที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงใช้ในถิ่นทุรกันดารและในช่วงเวลานั้นมารร้ายได้เข้ามาทำการทดลองพระองค์แต่ว่าโดยอาศัยการอธิษฐานภาวนการจำศีลอดอาหารและความซื่อสัตย์ต่อพระวาจาของพระเจ้าพระองค์ได้เอาชนะมารผจญ…ทุกๆวันเราแต่ละคนต้องเผชิญกับมารผจญ…เราจึงต้องอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าให้เราได้เอาชนะการผจญ ข้อคิด…โมเสสได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาซีนายเป็นเวลาสี่สิบวันเพื่อรับพระบัญญัติเช่นเดียวกันพระเยซูเจ้าทรงจำศีลอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนและทรงถูกมารปีศาจทดลองในถิ่นทุรกันดารก่อนจะเริ่มพระภารกิจของพระองค์…คริสตชนจึงควรเตรียมตัวเพื่อเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาของการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าด้วยเทศกาลมหาพรตแห่งการถือศีลอดอาหารใช้โทษบาปซึ่งจะยาวนานสี่สิบวันเช่นกัน ในบทอ่านที่หนึ่งเราได้ยินเรื่องราวของการผจญล่อลวงอาดัมและเอวาและในพระวรสารก็เป็นเรื่องราวที่พระเยซูเจ้าทรงถูกผจญ พระเยซูเจ้าทรงเป็นอาดัมคนใหม่…เพราะด้วยความนบนอบของพระองค์พระองค์ได้ทรงนำกลับคืนมาซึ่งพระพรต่างๆที่อาดัมคนแรกได้ทำให้สูญเสียไปเพราะความไม่นบนอบของตนและพระเยซูเจ้ายังทรงเป็นชาวอิสราแอลใหม่เช่นเดียวกับที่ชาวอิสราแอลดั้งเดิมถูกทดลองในถิ่นทุรกันดารและก็ไม่ซื่อสัตย์ส่วนพระองค์ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ในพระวรสารวันนี้นักบุญมัทธิวได้เล่าเรื่องการที่พระเยซูเจ้าทรงถูกมารปีศาจทดลองการทดลองพระเยซูเจ้านี้ประกอบด้วย3 ฉากด้วยกันซึ่งพระองค์ทรงต้องการที่จะแก้ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับพระภารกิจของพระองค์ […]
ข้อคิดอาทิตย์ที่สองเทศกาลมหาพรตปีA มธ17: 1-9…พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนพระวรกายของพระองค์ต่อหน้าอัครสาวกทั้งสาม… แต่ละปีพิธีกรรมในอาทิตย์ที่สองของเทศกาลมหาพรตพระศาสนจักรก็จะนำเสนอเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงพระวรกายหรือการแสดงองค์ของพระเยซูเจ้า…พระพักตร์ของพระองค์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง…เราแต่ละคนก็สามารถมีประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงตัวตนได้เหมือนกันเป็นพระหรรษทานและคุณธรรมที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงตัวเราให้มีสง่าราศรีเหมือนพระวรกายของพระเยซูเจ้าแต่ว่าบาปจะทำให้ตัวตนของเราเสียโฉม…ให้เราได้หันกลับมาหาองค์พระคริสตเจ้าสำหรับความช่วยเหลือต่างๆที่เราต้องการเพื่อว่าเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆด้วยการฝึกปฏิบัติคุณธรรม ข้อคิด…เช่นเดียวกับเรื่องราวการรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้า…การเปลี่ยนพระวรกายของพระเยซูเจ้าต่อหน้าอัครสาวกก็เป็นการแสดงองค์ของพระเยซูเจ้าดังที่พระองค์ทรงเป็นจริงๆ…เป็นเหตุการณ์ที่ก่อประโยชน์อย่างมากให้กับบรรดาอัครสาวกคือเมื่อพวกเขาได้แลเห็นเกียรติมงคลอย่างของพระผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วพวกเขาจะได้มีกำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุดแต่ถึงกระนั้นในขณะนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีต้องรอจนกระทั่งพระเยซูเจ้าจะได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจริงๆแล้วเท่านั้น เรื่องราวของการประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้าต่อหน้าอัครสาวกนั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูเขาสูง…เพราะบนภูเขาสามารถให้ทัศนียภาพที่กว้างไกลกว่าและจากบนภูเขาเราสามารถมองเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆข้างล่างได้มากขึ้นซึ่งทำให้เราได้รู้จักและเข้าใจโลกมากขึ้นนอกจากนั้นยังช่วยยกจิตใจของเราขึ้นสู่เบื้องบนได้อีกด้วยทำให้เราอยู่ต่อหน้าความยิ่งใหญ่และความสวยงามของธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้าและบนภูเขาสูงทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราอยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นอีกด้วยหรือกำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ประสบการณ์บนภูเขาสูงที่พระวรสารในวันนี้กล่าวถึงนั้นน่าจะเป็นภูเขาทาบอร์อันมีความหมายอย่างใหญ่หลวงสำหรับองค์พระเยซูเจ้าเองเพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญมากๆในชีวิตสาธารณะของพระองค์เป็นช่วงเวลาที่พระองค์กำลังเริ่มเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปรับทรมานและสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน…พระองค์ทรงทราบดีว่าชะตากรรมที่ว่านั้นกำลังรอคอยพระองค์อยู่เหมือนกับที่ได้เกิดขึ้นกับบรรดาประกาศกก่อนหน้าพระองค์นั่นก็คือความตายที่รุนแรงและเพื่อที่จะใช้เวลาทำการไตร่ตรองและอธิษฐานภาวนาสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้พระองค์ได้ทรงขึ้นไปบนภูเขาสูงโดยนำเอานักบุญเปโตรยากอบและยอห์นให้ไปกับพระองค์ด้วย วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสทันทีที่พระเยซูเจ้าได้ขึ้นไปถึงยอดเขาพระองค์ก็ได้เริ่มอธิษฐานภาวนาทันใดพระพักตร์ของพระองค์ก็เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่างโมเสสและประกาศกเอลียาห์แสดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์…นักบุญเปโตรถึงกับกราบทูลพระเยซูเจ้าว่า“พระเจ้าข้าที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆถ้าพระองค์มีพระประสงค์ข้าพเจ้าจะสร้างเพิงขึ้นสามหลังหลังหนึ่งสำหรับพระองค์หลังหนึ่งสำหรับโมเสสและอีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์”ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้นมีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุมพวกเขาไว้อันเป็นสัญลักษณ์ของการประทับอยู่ของพระเจ้ามีเสียงหนึ่งอันเป็นเสียงของพระบิดาเจ้าดังออกมาจากเมฆนั้นเป็นพระวาจาที่น่ารักมาก…ว่า“ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเราเราพึงพอใจยิ่งนักจงฟังท่านเถิด” นักบุญเปโตรต้องการค้างอยู่บนภูเขานั้นเลยท่านต้องการสร้างกระโจมที่พักอยู่ที่นั่นเลยเป็นที่พำนักที่ปลอดจากภัยอันตรายและปัญหาทุกข์ร้อนทั้งหลายแต่ว่าจุดประสงค์ของประสบการณ์ที่ว่านี้มิใช่เพื่อให้หนีจากภัยอันตรายและปัญหาทุกข์ร้อนแต่ต้องการเสริมสร้างและเพิ่มพลังเข้มแข็งให้กับพระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์เพื่อให้พวกเขาเมื่อกลับลงไปจากบนภูเขาแล้วจะได้สามารถเผชิญหน้ากับปัญหาและภัยอันตรายต่างๆ แน่นอนพวกเขาคงจะต้องการพลังเข้มแข็งอีกมากมายเพราะวันนั้นจะมาถึงและจะมีภูเขาอีกลูกหนึ่ง…วันนั้นท้องฟ้าจะมืดมัวพระพักตร์ของพระเยซูเจ้าจะโชกไปด้วยเหงื่อและเลือดฉลองพระองค์ก็จะดูไม่ได้เอาเสียเลยและบรรดาศิษย์จะหนีจากพระองค์ไป…จะมีเฉพาะโจรสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ศิษย์ที่รักและสตรีใจศรัทธาอีกบางคนซึ่งอยู่เป็นเพื่อนพระองค์…จะไม่มีเสียงจากสวรรค์แต่จะมีแต่เสียงของผู้คนที่สบประมาทเยาะเย้ยพระองค์ที่เดินผ่านไปผ่านมาพวกศิษย์ก็จะหนีกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทางและไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งสิ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ของพวกเขา […]