สวัสดีครับพี่น้องที่รักพบกันอีกครั้งในคอลัมน์“คิดสักนิด….สะกิดใจ” ในช่วงนี้ฝนตกทุกๆเย็นเห็นเด็กนักเรียนทั้งอัสสัมชัญของเราทั้งสามโรงเรียนเดินทางกลับบ้านด้วยความทุลักทุเลเพราะฝนก็ตกพื้นก็เปียกแฉะมิหนำซ้ำการจราจรด้านนอกก็ติดขัดแต่เด็กนักเรียนก็พากเพียรมาเรียนหนังสืออย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะท่านผู้ปกครองที่อดทนฝ่ารถติดมารับมาส่งลูกๆของตนอย่างตรงเวลาโดยหวังให้ลูกๆของตนประสบความสำเร็จก้าวหน้าในชีวิตโดยไม่อย่างลำบากจนเกินไป แต่ความคิดหนึ่งที่พ่อคิดว่า“ผิด”ในสังคมไทยคือคิดว่า“ถ้าลูกต้องลำบากถือเป็นความผิดของพ่อแม่”ซึ่งมนุษย์อาจเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวในโลกนี้นะครับที่เข้าใจผิดในเรื่องนี้เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตประเภทในโลกนี้ที่พยายามหากินให้ลูกจนเกิดถึงตายหรือจากเปลจนถึงหลุมศพ มีสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่สอนเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือแม่นกอินทรีย์ซึ่งสอนเราว่าหน้าที่ของพ่อแม่ที่แท้จริงคือการเตรียมชีวิตให้กับลูกให้เขาเข้มแข็งและอยู่ในโลกนี้ได้ในวันที่ไม่มีเรา… ในทุกวันแม่นกอินทรีย์มันจะคาบอาหารมาเลี้ยงมาป้อนลูกของมันทุกวันไม่เคยขาดแต่เมื่อวันหนึ่งที่ลูกนกจะต้องเริ่มออกจากรังเพื่อหัดบิน…มันจะเริ่มเอาอาหารมาป้อนน้อยลง… แต่เอาหนามเอาหินมาทิ้งในรังสุมไว้เพื่อสร้างความอึดอัดให้กับลูกเพื่อเป็นการผลักลูกให้เริ่มอยู่ในรังไม่ได้… และเมื่อเวลาที่เวลาที่เหมาะสมทุกวันแม่นกอินทรีย์จะคาบลูกของตนบินขึ้นไปในที่สูงแล้วปล่อยลูกของตนทิ้งลงมาเพื่อหัดให้ลูกรู้จักกระพือปีกเป็นแต่ถ้าลูกร่วงลงมาโดยไม่บินมันก็จะโฉบลงมารับบินกลับขึ้นไปและทิ้งลงมาใหม่ทำอย่างนี้จนวันหนึ่งลูกนกจะกางปีกแล้วเริ่มกระพือบินได้ เมื่อถึงวันนั้น… หน้าที่ของพ่อแม่ก็สำเร็จแล้วแม่นกอินทรีย์ก็จะจากลูกของตนไปเพื่อให้ลูกของตนมีครอบครัวใหม่โดยไม่จำเป็นต้องมีแม่นกอินทรีย์อีกต่อไป แต่ในความเป็นจริงพ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกของตนแบบลูกคุณหนูไม่เคยให้ลูกต้องดิ้นรนขวนขวายอะไรลูกจึงไม่เคยหกล้มเข่าของเขาไม่เคยเลือดซิบและไม่เคยได้เรียนรู้อะไรเลยจากความผิดพลาดของตนเองในชีวิตเด็กในยุคปัจจุบันจึงทำอะไรไม่เป็นและได้แต่…รอเงินรอรถรอเสื้อผ้ารอไอโฟนรอครูสอนพิเศษฯลฯจากพ่อแม่ […]